สวัสดีจ้าชาวดารากรทุกคน วันนี้ก็มาพบกันอีกเช่นเคย รอบนี้เราจะมาพาทุกท่านไปเที่ยวเวียดนามเหนือกันจ้า เราเดินทางไปเที่ยว 3 วัน 2 คืน ซึ่งขอออกตัวก่อนเลยว่ารอบนี้เราเดินทางไปกับทัวร์ ไม่ได้ซื้อที่ไหนก็ซื้อกับบริษัทดารากร ทราเวล นี่เลยค่า มีขายทุกเส้นทางอยากเที่ยวไหนมาที่ “ดารากร ทราเวล” ได้เลยจ้า รับรองประทับใจทุกเส้นทางเพราะเราบริการดุจญาติมิตร ว่าแต่ 3 วัน 2 คืนเราจะได้ไปเที่ยวที่ไหน พักที่ไหน ทานอะไรบ้าง ตามมาได้เลยจ้า
DAY 1
ถึงเวลาออกเดินทางกันแล้วจ้า
โปรแกรมที่เราเลือกเดินทาง จะเดินทางโดยสายการบิน Air Asia ซึ่งเวลานัดเช็คอินของเราคือตี 4 เราก็ต้องตื่นเช้ากันหน่อยนะจ๊ะ พอมาถึงจุดนัดหมายก็จะมีพนักงานและพี่ไกด์คอยดูแลเราตั้งแต่ติดแท็กกระเป๋าจนกระทั้งเช็คอิน มากับทัวร์ก็จะสบายหน่อยจ้ามีคนช่วยยกกระเป๋าให้ อิอิ
ขณะนี้เวลา 08.50 น. เราก็เดินทางถึงสนามบิน “นอยไบ” เมืองฮานอย ประเทศเวียดนาม หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง พร้อมรับกระเป๋าสัมภาระเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้นทางเราก็เตรียมตัวขึ้นรถบัสเพื่อจะเดินทางไปยังเมืองลาวไก เป็นเมืองที่ใกล้กับชายแดนจีน ตั้งอยู่บนระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,650 เมตร จึงมีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี ระยะทางประมาณ 270 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ถ้าบวกกับแวะเข้าห้องทำธุระส่วนตัว แล้วอีกอย่างเวียดนามจำกัดความเร็วในการขับ 80 Km/h รวม ๆ แล้วก็จะใช้เวลา 5 ชั่วโมง จึงทำให้ใช้เวลานานไปนิดนึงจ้า



รถบัสที่เราใช้เป็นรถบัสปรับอากาศ 1 ชั้น 35 ที่นั่ง แอร์เย็น ที่นั่งกว้าง นอนหลับสบาย แต่รอบนี้ยิ่งสบายเพราะกรุ๊ปของเรามีแค่ 24 คน รวมพี่ไกด์ไทยและพี่ไกด์ท้องถิ่น พี่ ๆ ไกด์ดูแลดีมาก ก.ไก่ ล้านตัว แถมยังได้เทคนิคการต่อราคากับแม่ค้าเวียดนามจากพี่ไกด์ด้วยนะจะบอกให้ ส่วนข้างทางระหว่างนั่งรถไปเราก็มีวิวทุ่งนาขั้นบรรไดและธรรมชาติที่สวยงามให้ได้ชมกันด้วยเด้อ
ถึงแล้วเมืองลาวไก แวะทานข้าวเติมพลังกันก่อน !!
เราเดินทางมาได้สักพักใหญ่ ๆ ก็ถึงเมืองลาวไก แวะทานข้าวกันที่ภัตตาคาร กับข้าวที่ได้มาก็ถือว่าเยอะพอสมควร รสชาติจะออกจืดกว่าบ้านเรานิดหน่อย แต่มีเมนูพิเศษจากพี่ไกด์ของเราที่มาช่วยเติมเต็มรสชาติอาหารมื้อนี้นั่นก็คือ น้ำพริกนรกและน้ำพริกกะปิ ที่สำคัญถ้าจะไม่พูดถึงเมนูเด็ดของร้านคงไม่ได้แล้วจ้าเพราะมันอร่อยมาก เมนูที่ว่าคือ เปาะเปี๊ยะทอด นั่นเองจ้า ไม่ได้เวอร์นะแต่อยากให้ทุกคนได้ลอง
เมื่อทานข้าวอิ่มแล้วระหว่างรอสมาชิกท่านอื่น ๆ ทางเราก็เดินเล่นใกล้ ๆ ร้านอาหาร ก็เจอแม่ค้าขายส้มบนฟุตบาทโดนลูกค้าชาวไทยอีกกรุ๊ปรุมซื้ออยู่ ทางเราก็ไม่พลาดสิคะที่จะไม่ซื้อ ฮ่า ๆ ๆ ๆ เราก็ซื้อมา 1 กก. ราคา 30,000 ดอง (ถ้าเอามาเทียบกับวันอื่น ๆ แล้วถือว่าเราซื้อมาถูกมาก ๆ เลย ที่อื่นก็ราคา 70,000 ดอง เลยจ้า) พอลองทานแล้วอร่อยคุ้มค่ากับการตัดสินใจซื้อมาก เพราะลังเลกันอยู่สองคนว่าจะซื้อดีไหมแต่สุดท้ายก็ซื้อ อีกอย่างส้มเขาหวานอมเปรี้ยวรสชาติลงตัวมาก ๆ


ถึงเวลาออกเดินทางไป เมืองซาปา เมืองเล็ก ๆ ที่เหมาะแก่การพักผ่อน ที่เมืองแห่งนี้มีชาวต่างชาติมาพักผ่อนในช่วงวันหยุดเป็นประจำเนื่องจากอากาศดีและเงียบสงบ นอกจากบรรยากาศแล้ว บรรดาชาวเขาที่อาศัยอยู่ก็มีวิถีชีวิตที่น่าสนใจ และพื้นที่ในซาปาก็เต็มไปด้วยนาขั้นบันไดท่ามกลางที่ลาดไหล่เขาทอดตัวอย่างมีเสน่ห์ที่เป็นจุดเด่นของเมืองซาปาอีกด้วย



เมื่อเดินทางถึงเมืองซาปา สถานที่แรกที่เราไปนั่นก็คือ “น้ำตกสีเงิน” เป็นน้ำตกที่สวยที่สุดในเมืองซาปาไหลมาจากยอดเขาฟานซีปัน ซึ่งสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากระยะไกล มีความสูง 100 เมตร อากาศที่เมืองซาปาเย็นมากเลยค่ะทุกคน พูดมาทีคือมีควันออกจากปากด้วย
หลังจากเสพธรรมชาติจากน้ำตกเต็มอิ่มแล้ว เราก็เดินทางไปต่อกันที่ “ CAT CAT VILLAGE “ เป็นหมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้งดำที่เมืองซาปา แต่ก่อนที่เราจะไปหมู่บ้านก๊าตก๊าตกันเราจะต้องเปลี่ยนเป็นรถตู้ก่อน เนื่องจากรถบัสไม่สามารถเข้าไปได้เพราะทางมันแคบ พอเราเปลี่ยนรถเสร็จแล้วรถตู้ก็จะขับพาเราไปลงหน้าหมู่บ้านแล้วเราจะต้องเดินทางเท้าเข้าไปในหมู่บ้านอีกที ในหมู่บ้านแห่งนี้ก็มีสิ่งที่น่าสนใจเยอะแยะไปหมดเลยไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเขาในหมู่บ้านแบบเรียบง่ายและความสวยงามของแปลงนาข้าวแบบขั้นบันได ตลอดการเดินทางเท้าก็จะมีบ้านเรือนของชาวเขาที่เปิดร้านขายสินค้าพื้นเมืองของที่ระลึกด้วยนะจ๊ะ นอกจากนี้ก็ยังมีจุดให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปกันได้แบบสวย ๆ ไว้อวดเพื่อน ๆ กันได้ด้วยน้า แต่อยากจะบอกทุกคนว่าเหนื่อยมาก ฮ่า ๆ ๆ ตอนลงไม่เท่าไหร่ตอนขึ้นคือขาลากเลยจ้า
กลับที่พัก ทานข้าวกันดีกว่า ^^
ถึงเวลาไปที่พักของเราคืนนี้กันแล้ว หลังจากที่ใช้พลังงานกันมาทั้งวันแล้วพี่ไกด์ก็ได้พาพวกเราไปที่พัก ที่พักก็ไม่ได้ไกลจากสถานที่ท่องเที่ยวเลยนั่งรถแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เมื่อถึงที่พักพี่ไกด์ก็แจกคีการ์ดห้องพักให้แต่ละคนเพื่อจะได้นำกระเป๋าไปเก็บและล้างหน้าล้างตาก่อนจะนัดลงมาทานข้าวมื้อเย็นกันที่ห้องอาหารโรงแรม เรานอน 2 คน แต่ได้มา 3 เตียง เหลือ ๆ เลยจ้า ห้องกว้างสะอาดมีฮีตเตอร์ให้ด้วย


!! มื้อนี้มีเมนูพิเศษ ชาบูแซลม่อน !!
เมื่อถึงเวลานัดเราก็ลงไปที่ห้องอาหาร พอไปถึงก็จะตื่นตาตื่นใจหน่อยเพราะมื้อนี้มีแซลม่อน ปลาแซลม่อนของเขาสดมาก ๆ น้ำซุปของเขาจะเป็นแบบต้มยำ แต่ถามว่าแซ่บแบบของไทยไหมเราว่าคล้าย ๆ แต่รสจะอ่อนกว่านิดหน่อย เครื่องเคียงต่าง ๆ ที่ได้มาก็มี ผักกาดขาว ผักกาดกวางตุ้งดอก เห็ดเข็มทอง เห็ดหอม เต้าหู้ขาว มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วยนะ ทุกอย่างสามารถเติมได้ยกเว้นปลาแซลม่อนเติมไม่ได้นะคะ ยังไงมื้อนี้ก็อิ่มแน่นอนค่า ส่วนเครื่องดื่มจะมีน้ำเปล่ากับไวน์แดง และที่จริงทางห้องอาหารมีน้ำจิ้มให้ สำหรับเราไม่ค่อยถูกปากสักเท่าไหร่ แต่ยังมีน้ำจิ้มของพี่ไกด์มาช่วยอีกแล้วจ้า มื้อนี้ถือว่าอร่อยมาก ๆ ค่ะ หลังจากที่ทานอาหารอิ่มแล้วเราก็ถือโอกาสไปเดินช้อปปิ้งที่ตลาดเลิฟมาร์เก็ตก่อนแล้วค่อยกลับมาพักผ่อนค่ะ

ที่ตลาดเลิฟมาร์เก็ต ก็จะมีของที่ระลึกแบบพื้นบ้านวางขายเยอะแยะเต็มไปหมด นักท่องเที่ยวที่มามีทั้งต่างชาติและคนเวียดนามก็มาเดินเล่นกัน หากใครอยากจะซื้อของฝากที่ตลาดแห่งนี้ก็สามารถซื้อได้เลยเพราะของถูกต่อรองราคากับแม่ค้าได้ และที่ใกล้ ๆ ก็ยังมี ” โบสถ์ซาปา “ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดแลนด์มาร์คของเมืองซาปาไว้ให้ถ่ายรูปอีกด้วย โบสถ์แห่งนี้เป็นสถานที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองซาปาสร้างขึ้นเมื่อปี 1932 รูปทรงและสถาปัตยกรรมจะเป็นแบบของฝรั่งเศส นอกจากนี้ก็มีลานกิจกรรมที่มีเด็กชาวเวียดนามทั้งชายและหญิงมาแสดงการละเล่นพื้นเมืองให้ชมอีกด้วย หากใครจะมอบเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเด็ก ๆ เพื่อเป็นกำลังใจก็ได้นะคะ หลังจากเดินช้อปปิ้งอิ่มหนำสำราญกันแล้วทางเราก็ขอตัวไปพักผ่อนเอาแรงไว้ไปตะลุยเมืองซาปาวันที่ 2 กันจ้า
DAY 2
อรุณสวัสดิ์เช้าวันที่ 2 อันสดใสและหนาวเหน็บจ้าทุกคน ห้องที่เราได้พอเปิดประตูหลังระเบียงไปดู ก็คือเจอแต่ความงดงามของธรรมชาติและนาขั้นบันไดที่มีหมอกคอยปกคลุมภูเขาอยู่


หลังจากที่ทำธุระส่วนตัวเก็บของเสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลาลงมาทานข้าวที่ห้องอาหาร ก็มีพี่ไกด์มาคอยดูแลความเรียบร้อยของลูกทัวร์ ส่วนอาหารของโรงแรมแห่งนี้ก็มีให้เลือกเยอะแยะมากมายจนไม่รู้จะทานอะไรดี แต่ก็ไปสะดุดตากับ เฝอ อาหารที่ขึ้นชื่อของเวียดนามเราก็ไม่พลาดอีกแล้ว อิอิ เช้านี้เราก็เลยเลือกทานเฝอ ซึ่งมันอร่อยมากเลยเราใส่แค่พริกกับบีบมะนาวลงไปนิดหน่อยเอง แต่รสชาติของน้ำซุปคืออร่อยอยู่แล้ว ถ้าใครมาเวียดนามก็อยากจะให้ลองทานดูรับรองไม่ผิดหวังแน่นอนค่า (อ่านเมนูเด็ดเพิ่มเติมได้ที่ >> ชี้เป้าอาหารจานเด็ดเวียดนาม)



ไปเที่ยวต่อไม่รอแล้วนะ
หลังรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้วพี่ไกด์ก็พาเราทุกคนเดินเที่ยวในเมืองซาปาและถ่ายรูปรวมกับโบสถ์ซาปา จุดแรกที่เราจะไปนั้นก็คือ ภูเขาฮามรอง หรือ ภูเขาปากมังกร ซึ่งเป็นภูเขาอยู่กลางเมืองซาปา การเดินทางที่จะสามารถขึ้นไปนั้นเราต้องเดินอย่างเดียวค่ะ รถไม่สามารถขึ้นไปได้ จุดเด่นของภูเขาแห่งนี้คือเราจะสามารถมองเห็นเมืองซาปาในมุมที่สวยมาก ๆ ถ้ามีเมฆหมอกคอยปกคลุมเมืองซาปาก็จะทำให้เป็นวิวที่สวยขึ้นไปอีกค่ะ แต่อยากจะเตือนสักนิดว่าภูเขาแห่งนี้ไม่เหมาะกับผู้สูงวัยที่ไม่ค่อยแข็งแรงนะคะ เนื่องจากว่าเราต้องเดินเท้าขึ้นเขาในระยะทางที่ไกลพอสมควร ซึ่งก็แน่นอนค่ะว่าคนที่ขึ้นไปก็มีแต่กลุ่มวัยรุ่นแค่ไม่กี่คน ส่วนท่านไหนที่ไม่ได้ขึ้นไปก็ยังสามารถ เดินเที่ยวชมโบสถ์ซาปาในตอนเช้า นั่งชิวตามร้านกาแฟ หรือจะหามุมถ่ายรูปเก๋ ๆ อวดเพื่อน ๆ ได้จ้า

ในส่วนของทางที่จะขึ้นไปภูเขาฮามรองนั้นเราก็จะสามารถแวะชมและแวะถ่ายรูปกับสวนดอกไม้ สวนกล้วยไม้ และสวนที่เป็นรูปปั้น 12 นักษัตร ได้ตลอดทางเลย ถ้าถามว่าเดินไปเหนื่อยไหมก็เหนื่อยนะคะ แต่ก็ไม่ถึงกับมากเพราะระหว่างทางเราได้แวะถ่ายรูปกับธรรมชาติที่สวยงามได้ตลอดทาง และถึงแม้ว่าครั้งนี้เราจะเดินไม่ถึงจุดสูงสุดของภูเขา เราก็ว่าคุ้มแล้วนะคะ เพราะแค่สวนดอกไม้ก็ทำให้เราเสียเวลาไปเยอะเลยค่า
หลักจากที่ลงมากันแล้วนั้นเราก็ไม่รีรอที่จะไปสถานที่ต่อไป ซึ่งเป็นสถานที่ ที่ถือว่าสวยที่สุดของเมืองซาปาเลยก็ว่าได้ นั่นก็คือ ยอดเขาฟานซีปัน เองจ้า แค่ได้ยินพี่ไกด์พูดชื่อก็ตื่นเต้นแล้วค่ะทุกคน ซึ่ง เขาฟานซีปัน เป็นภูเขาที่มีความสูงที่สุดในประเทศเวียดนามด้วยความสูง 3,143 เมตร เปรียบเสมือนเป็น “หลังคาอินโดจีน” ก่อนที่จะไปถึงยอดเขาเราต้อง นั่งรถไฟเมืองซาปา เพื่อไปต่อกระเช้า ระหว่างทางเราก็จะได้ชมวิวทิวทัศน์ของเมืองซาปาที่เต็มไปด้วยความสดชื่นของธรรมชาติอีกด้วยจ้า
พอสิ้นสุดปลายทางเราก็เดินไปต่อคิวเพื่อขึ้นกระเช้า ซึ่ง 1 กระเช้า สามารถขึ้นได้เต็มที่ 35-40 คน เราก็โชคดีหน่อยเนื่องจากกรุ๊ปของเรามีแค่ 24 คนรวมพี่ไกด์ มันก็จะได้ไม่อึดอัดไปสำหรับ 1 กระเช้า และที่สำคัญตอนรอขึ้นกระเช้าต้องรีบเดินขึ้นสักนิดนะคะ เพราะว่ากระเช้าจะไม่ได้หยุดรับมันจะหมุนไปเรื่อย ๆ แบบอัตโนมัติ แค่ขึ้นกระเช้าก็สนุกแล้วค่ะทุกคน หากท่านไหนกลัวเราบอกเลยว่าไม่ต้องค่ะ เนื่องจากกระเช้าเป็นระบบกระเช้าไฟฟ้าสริงสามสายรับรองว่าแข็งแรงทนทาน และเป็นกระเช้ายาวที่สุดในเอเชีย รวมระยะทางประมาณ 6.3 กิโลเมตร
ในระหว่างที่นั่งกระเช้าขึ้นไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งตื่นเต้นเพราะเหมือนกับว่าเราได้ลอยขึ้นไปอยู่บนเมฆที่มีแต่สีขาวดูนุ่มนิ่ม ระหว่างทางทุกคนในกระเช้าก็ภาวนาขอให้ฟ้าเปิดเราจะได้ถ่ายรูปออกมาสวย ๆ เนื่องจากว่าวันที่เราไปตอนอยู่ข้างล่างฟ้ามันปิดแสงแดดแทบไม่สาดส่อง และอากาศก็หนาวเย็นมาก แต่แล้วฟ้าก็เป็นใจพอเราขึ้นไปถึงแล้วนั้นฟ้าเปิดจ้าทุกคนนนน! ทำให้เราเห็นวิวที่สวยมาก ๆ พอเราทอดสายตามองออกไปรอบ ๆ เราก็จะเห็นเป็นผืนเมฆสีขาวสุดลูกหูลูกตากันเลยทีเดียวค่ะ แต่ว่าจุดที่เรานั่งกระเช้ามาถึงนั้นก็ยังไม่ใช่จุดสูงสุดนะคะทุกคน เราต้องนั่งรถรางขึ้นไปเพื่อถึงจุดสุดยอดของเขาฟานซีปันแห่งนี้ค่ะ หรือท่านไหนอยากจะเดินขึ้นก็ได้นะคะแต่สูงมากหากใครขึ้นไหวก็จัดเลยค่า แต่สำหรับเราแล้วยังเป็นวัยรุ่นที่แข็งแรงนั่งรถรางขึ้นค่ะ อิอิ แต่ว่าเราเลือกจะนั่งขึ้นนะคะส่วนตอนลงเราเลือกเดินลงค่ะ เพราะว่าระหว่างทางเดินก็จะมีสิ่งที่น่าสนใจให้เราแวะชมแวะถ่ายรูปอีกเยอะค่ะ ไหน ๆ ก็ได้มาแล้วเราต้องเอาให้คุ้มค่ะทุกคน
เที่ยงแล้วทานข้าวกัน
หลังจากเราเที่ยวอยู่บนเขาฟานซีปันจนอิ่มหนำสำราญแล้วก็เที่ยงพอดี เราทุกคนก็เดินทางกลับทางเดิมที่เรามานะคะ คือนั่งกระเช้าไฟฟ้าแล้วต่อรถไฟซาปาเพื่อเข้าไปในเมือง เมื่อเราลงมาถึงข้างล่างแล้วพี่ไกด์ก็พาเราไปทานข้าวที่ร้านอาหารที่ร้านอาหาร ซึ่งพี่ไกด์บอกว่าร้านที่เรากำลังจะไปทานอร่อยที่สุดในเมืองซาปาแล้ว ซึ่งพอเราได้ไปลองทานก็อร่อยจริง ๆ ค่ะ รสชาติถูกปากมากกว่าร้านอื่น ๆ ไม่ได้ออกไปทางรสจืดเหมือนร้านทั่วไป และบรรยากาศของร้านดีด้วยนะคะทุกคน
อำลาเมืองซาปาและเดินทางกลับไปยังเมืองฮานอยกันเลยจ้า Go Go Go !!
หลังจากที่เรารับประทานอาหารกันเรียบร้อยแล้วเราก็เดินทางกลับไปยังเมืองฮานอย ซึ่งก็ใช้เวลานานพอสมควรประมาณ 4-5 ชม. แต่ระหว่างทางเราก็จะมีแวะให้ทำธุระส่วนตัวกันอยู่นะจ๊ะเมื่อเวลาผ่านไปจนกระทั่งเราเดินทางถึงเมืองฮานอยรถก็มุ่งหน้าไปยังร้านอาหารเพราะเราไปถึงก็ค่ำพอควรแล้ว ร้านอาหารที่เราไปมื้อนี้เป็นร้านอาหารไทย ซึ่งรสชาติก็ถือว่าอร่อยใช้ได้เลยค่ะแต่อาจจะไม่จัดเท่าของไทยแต่สำหรับเราอร่อยมากค่ะ
หลังจากรับประทานอาหารแล้ว พี่ไกด์ก็พาเราทุกคนไป Shopping ละลายทรัพย์กันที่บน ถนน 36 สาย ซึ่งที่ถนนแห่งนี้ขายสินค้าหลากหลายประเภท ทั้งของที่ระลึก ของกิน ของใช้ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องเขิน หมวกงอบญวน เซรามิก ภาพเขียน กระเป๋าต่าง ๆ และมีสินค้ามากมาย พี่ไกด์แอบกระซิบมาบอกว่าถ้าอยากได้ของที่ถูก ๆ ให้ซื้อกับแม่ค้าพ่อค้าที่จะเดินขายตามฟุตบาทเอานะคะทุกคน
ถึงเวลาพักผ่อนเอาแรงแล้วจ้า
หลังจากที่ตัวเบาจากการ Shopping แล้วนั้น ก็ถึงเวลาเดินทางไปยังที่พักเพื่อให้ทุกคนได้พักผ่อนเก็บแรงไว้เที่ยวในวันพรุ่งนี้ ซึ่งที่พักของเราก็ไม่ได้ไกลจากสถานที่เที่ยวของเราสักเท่าไหร่ ใช้เวลาแค่แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว พอถึงที่พักก็ไปรับคีการ์ดกับพี่ไกด์แยกย้ายกันไป ห้องพักที่เราได้ก็ไม่ได้เป็นห้องใหญ่มากสักเท่าไหร่ แต่อยู่กัน 2 คน สบายมากเตียงนุ่ม ห้องน้ำมีอ่างจากุซซี่ให้นอนแช่ด้วยนะ สบายใจสบายตัวสุด ๆ เลยค่ะ
DAY 3
สวัสดีเช้าวันที่ 3 นะคะทุกคน
ซึ่งวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่จะได้อยู่ในเวียดนามเหนือแล้วนะคะทุกคน เช้านี้ก็เหมือนเคยเราทุกคนเก็บของเตรียมตัวเสร็จแล้วถึงเวลานัดลงมาทานข้าวเช้ากัน อาหารเช้าก็มีให้เราเลือกเยอะแยะมากมาย ดูน่าอร่อยทุกอย่างเลยค่ะ แต่ว่าเช้านี้เราก็เหมือนเคยทานเฝอเหมือนเคยจ้าเพราะมันอร่อย ฮิฮิ
หลังจากที่รับประทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปเที่ยวสถานที่แรกของวันนี้กันเลย นั่นก็คือ จัตุรัสบาดิงห์ เป็นลานกว้างที่ประธานาธิบดีโฮจิมินห์ได้อ่านคำประกาศอิสรภาพของเวียดนามพ้นจากฝรั่งเศสเมื่อ 2 ก.ย. 2488 หลังจากเวียดนามตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสอยู่ถึง 84 ปี และก่อนที่เราจะเข้าไปยังพื้นที่เพื่อไปชม สุสานโฮจิมินห์ นั้นเราจะต้องผ่านเครื่องตรวจก่อนนะคะเพื่อความปลอดภัย ซึ่งภายในสุสานได้บรรจุศพของท่านโฮจิมินห์ที่อาบน้ำยาแล้วนำไปไว้อยู่ในโลงแก้วอย่างสงบนิ่ง แต่ทางสถานที่จะไม่ให้เราเข้าไปข้างในนะคะเราจะชมได้แต่ข้างนอก และเราต้องไม่ส่งเสียงดังหรือโวยวายเพื่อเป็นการให้เกียรติค่ะ
หลังจากนั้นเราก็จะเดินทางมุ่งหน้าไปที่ เมืองนิงบิงห์ เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีความโดดเด่นทางธรรมชาติ มีพื้นที่ชุ่มน้ำในอาณาเขตอันไพศาลจนถูกขนานนามว่า “ฮาลองบก” ซึ่งใช้เวลานานพอสมควรแต่ก็ไม่ได้นานมากนะคะ พอไปถึงเมืองนิงบิงห์เราก็ตรงไปที่ท่าเรือเพื่อจะไป ล่องเรือนิงห์บิงห์ ระหว่างที่เราล่องเรือเราก็จะได้ชมวิวทิวทัศน์อันงดงามของยอดเขาหินปูน หน้าผาสูงชัน ทุงนาข้าว ซึ่งจุดเด่นของการล่องเรือที่นี้ก็คือ พายเรือลอดถ้ำ และการใช้เท้าพาย แต่พี่ไกด์บอกว่าปัจจุบันอาจจะมีใช้มื้อพายบ้างเนื่องจากนักท่องเที่ยวบางท่านเห็นว่ามันไม่เหมาะส่มค่ะ อีกอย่างที่สำคัญของสถานที่แห่งนี้ก็คือ การได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติอีกด้วยจ้า
หลังจากที่นั่งล่องเรือกลับมาแล้วก็ถึงเวลาทานข้าวเที่ยงพอดีจ้า ซึ่งล่องเรือใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนะคะ เราก็เดินไปยังร้านอาหารเพราะว่าร้านไม่ได้ไกลจากท่าเรือสักเท่าไหร่เดินไปนิดเดียวก็ถึงแล้ว อาหารมื้อนี้ก็จัดเต็มเช่นเคยและอร่อยเช่นเคยค่า แต่เสียดายถ่ายมาให้ทุกท่านชมไม่ครบเพราะทางเราหิวมากนั่นเองค่ะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ
หลังจากเพิ่มพลังเต็มกำลังแล้ว เราก็ไปลุยต่อกับสถานที่สุดท้ายนั่นก็คือ วัดบายดิงห์ วัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของนครหลวงเก่าที่มีประวัติอันยาวนาน และมีชื่อเสียงของประเทศเวียดนามเป็นอย่างมาก มีความสวยแปลกตาสร้างถูกหลักฮวงจุ้ยแท้ ๆ ภายในวัดตรงระเบียงทางเดินจะมีพระพุทธรูปประดิษฐานเรียงรายทั้งหมด 2,000 องค์ นอกจากนี้ยังมีหอระฆัง อาคารเจ้าแม่กวนอิม วิหารเจ้าแม่กวนอิมพันกร เป็นวัดที่เคารพบูชาของชาวเวียดนามมาอย่างยาวนาน เราก็จะได้มาสักการะขอพรก่อนที่จะเดินทางกลับกรุงเทพฯ จ้า
ได้เวลากลับบ้านเรากันแล้วจ้า !!
เมื่อเราสักการะขอพรแล้วก็ถึงเวลาเดินทางกลับมายังสนามบินนอยไบ เพื่อมาเช็คอินเดินทางกลับกรุงเทพ โดยสายการบินของเราที่ใช้บริการเช่นเคยค่ะนั่นก็คือ Air Asia เรามาถึงสนามบินประมาณ 17.20 น. เมื่อมาถึงสนามบินพี่ไกด์ก็ให้เราทุกคนไปเช็คอินที่เคาน์เตอร์ ซึ่งเคาน์เตอร์เปิดพอดีและพี่ไกด์ก็คอยดูแลอำนวยความสะดวกให้เราตลอด หลังจากเช็คอินเสร็จเรียบร้อยแล้วใครจะเข้าไปหาข้าวกินข้างในเลย หรือจะหากินข้างนอกก่อนค่อยเข้าไปก็ได้นะคะ มื้อนี้เป็นมื้ออิสระหากินเองตามใจชอบได้เลย วันนั้นเรากลับมาถึงสนามบินดอนเมืองประมาณ 22.45 น. โดยสวัสดิภาพค่า และทริปนี้ประทับใจทุก ๆ คนเลยทั้งพี่หัวหน้าไกด์และไกด์ท้องถิ่นที่ดูแลดีมาก ๆ อีกทั้งเพื่อนร่วมทริปที่ไปรู้จักกันในรถซึ่งทุกคนน่ารักมาก ๆ เที่ยวไปแบบไม่มีกังวลเลยค่ะ